ควรจะเป็นปีที่สดใสในเรื่องที่เกี่ยวโยงกับโควิดที่เราเผชิญมาตลอดสามปีทั้งนี้ การประเมินไม่ได้อยู่ที่ตัวไวรัสอย่างเดียว อย่างที่ได้จากข้อมูลของหลอดทดลองทางห้องปฏิบัติการหรือสัตว์ทดลอง ซึ่งสามารถทำให้เกิดความรุนแรงในด้านการติดและการเกิดอาการหนักแต่ต้องควบรวมกับปัจจัยในมนุษย์ และจะเห็นได้ว่าในยุคของโอไมครอน ตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา จนกระทั่งมีโอไมครอนสี่และห้าในกลางปี จนกระทั่งมีสายพันธุ์ย่อย แต่ตัวเลขของการที่ต้องเข้าโรงพยาบาลที่มีอาการหนักและตัวเลขของการเสียชีวิตนั้นไม่ได้มากเมื่อเปรียบเทียบกับในยุคก่อน (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) ทั้งๆที่ในช่วงสาม ถึงสี่เดือนหลังของปี 2565 จะมีการใช้ชีวิตเกือบหรือเป็นปกติแบบสมัยก่อนโควิด ในแทบทุกประเทศทั่วโลก ปัจจัยที่ส่งเสริมให้มนุษย์ปลอดภัยขึ้นหรือคุ้มครองให้ไม่มีอาการหนักหรือเสียชีวิต ยกตัวอย่าง เช่น1.ผลดีสะสมของวัคซีน ทั้งเชื้อตายและ แอสตรา และ mRNA ทั้งนี้ ร่วมกับ 2.ผลของการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาติ ที่ไม่ได้ประเมินจากระดับแอนติบอดีในเลือด แต่เป็นการเตรียม พร้อมของระบบภูมิคุ้มกันที่ออกฤทธิ์ทันที เช่น โดยเซลล์นักฆ่า3.อีกประการสำคัญที่กำหนดความรุนแรงคือ “ต้นทุนสุขภาพ” ไม่ว่าจะอายุเท่าใด โดยไม่อ้วน ออกกำลังสม่ำเสมอ ไม่มีหรือมีโรคประจำตัว แต่ควบคุมได้เต็ม 100 และกินอาหารที่เป็นผักผลไม้กากใยเป็นประจำ แป้งไม่มาก เนื้อสัตว์น้อยมาก แต่ ปลา กุ้ง หอย ปู ได้รวมทั้งอาจมีผลจากการที่ได้รับเชื้อโรค ต่างๆทีละเล็กทีละน้อย มาเป็นเวลานาน หรือพูดง่ายๆว่า สัมผัสกับ “ความสกปรก” อยู่บ้าง ทั้งยังมีแดดเป็นตัวส่งเสริมให้สุขภาพดีและมีระบบภูมิคุ้มกันที่ต้านทานเชื้อ ไม่ใช่แต่ไวรัสอย่างเดียว แต่เป็นเชื้อทุกอย่าง และเป็นไปได้ที่มีการสัมผัสเชื้อไวรัสที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ข้ามกลุ่มไปต่อสู้กับโควิดได้ ตัวอย่างก็คือ ในประเทศแถบแอฟริกา เช่น ประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งมีการฉีดวัคซีนน้อยมาก แต่การติดโควิดและอาการหนักและเสียชีวิตน้อย รวมทั้งประเทศอินเดีย และในประเทศจีนเองซึ่งใช้วัคซีนเชื้อตายแต่เมื่อมีการระบาดของโอไมครอน ถึงแม้ว่าจะมีผู้ติดเชื้อมากมาย แต่ผู้ป่วยที่เข้าโรงพยาบาลนั้น มีจำนวนไม่มาก เมื่อเทียบกับประชากร และสามารถ รักษาให้หายได้โดยเร็ว (จากข้อมูลของประเทศจีนโดยตรง)4.การที่ต้องรักษาทันที โดยเฉพาะในประเทศ ไทย ด้วยฟ้าทะลายโจร ตั้งแต่เริ่มไม่สบายไม่ต้องรอขึ้นสองขีด เพราะจะขึ้นช้ามาก จะพลาดโอกาสทอง และต้องกินให้ถูกขนาดตามปริมาณของตัวออกฤทธิ์ แอนโดรโฟร์ไลท์ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เป็นเวลาห้าวัน โดยในการรักษาโควิดนั้น กินตามข้างซองยาไม่ได้ เพราะขนาดจะไม่เท่ากัน โดยต้องใช้มากขึ้นเมื่อใช้กับโควิด (ยาต้านไวรัสที่ใช้ทั้งหมด ไม่ใช่แต่ฟ้าทะลายโจร ต้องใช้รวดเร็วตั้งแต่ต้นและอาการน้อยจึงจะได้ผล) โดยต้องตระหนักว่า ฟาวิพิราเวียร์เริ่มมีการดื้อตั้งแต่กลางปี 2565 เป็นต้นมา สำหรับประโยชน์ของวัคซีนนั้น ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น mRNA และวัคซีนรุ่นใหม่ที่ควบรวมสายพันธุ์ BA4/5 เข้าไปด้วย ผลปรากฏว่าสายพันธุ์ย่อยใหม่ BQ XBB BX7 ดื้อต่อวัคซีนทั้งหมด รวมทั้งวัคซีนรุ่นใหม่ กันติดไม่ได้ แม้ว่าอาจจะลดอาการหนักได้ แต่ไม่ดีเท่ากับการติดเชื้อตามธรรมชาติที่ผ่านมา ทั้งนี้เป็นรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯเองรวมกระทั่งถึงสถาบันในยุโรปและในอังกฤษการฉีดวัคซีน mRNA ต้องประเมินความเสี่ยงของหัวใจอักเสบ ถึงแม้เข้าใจว่าเกิดไม่มากแต่ถ้าเกิดแล้วความรุนแรงอาจสูงรายงานจากคณะแพทย์เยอรมันทางพยาธิวิทยาที่มีชื่อเสียง พิสูจน์จากการตรวจศพของผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA และเสียชีวิตเฉียบพลันภายใน 7 วัน จำนวน 25 ราย อายุ 45–75 ปี โดยแสดงความผิดปกติในกล้ามเนื้อและเยื่อหุ้มหัวใจ มีการอักเสบเป็นหย่อมๆ และทำให้สามารถสรุปได้ว่าทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดปกติ รายงานวันที่ 27 พฤศจิกายน 2022ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจจะมากกว่าที่ประเมิน และความรุนแรงของกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอาจจะมากกว่าที่เคยคิดหรือไม่ เนื่องจากการรายงานทั่วโลกเป็นการรายงาน retrospective แบบย้อนหลัง และมักตัดประเด็นเฉียบพลันออก โดยลักษณะของอาการเช่นนี้เป็น sudden death คือหัวใจหยุดเต้นกะทันหันจากกระแสไฟฟ้าผิดปกติ ไม่ใช่หัวใจวาย ที่พอมีเวลาและมีอาการให้เห็นก่อนผลแทรกซ้อนของวัคซีน จากความเป็นไปได้ จะเพ่งเล็งประเด็นที่ (1) และ (2) โดยอาจมองข้าม (3)(1) เรื่องเส้นเลือดในหัวใจตัน หรือ (2) ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบทั่วไป คือหัวใจวาย แต่ในกรณีนี้ (3) เป็นกระจุกของเซลล์อักเสบที่อยู่ในกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจ ที่ไปขัดขวางเส้นใยประสาทนำไฟฟ้าของหัวใจ ทำให้หยุดเต้นกะทันหัน และถ้ากระตุ้นหัวใจขึ้นมาได้ จะตามต่อด้วยกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบทั่วไป ทำให้หัวใจบีบตัวไม่ไหวตามด้วยหัวใจวาย โควิดสายย่อยใหม่นี้ นอกจากดื้อวัคซีน ยังดื้อต่อโมโนโคลนอลแอนติบอดีทุกชนิดแล้ว ที่ใช้ในการรักษาและรวมถึงชนิดที่ใช้ป้องกันที่มีฤทธิ์ยาวนานหลายเดือน (Evusheld) ตามข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ และในยุโรปและในอังกฤษดังนั้น ในปีใหม่นี้และตลอดไป การรักษาต้นทุนสุขภาพควรเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งไม่ได้ป้องกันแต่โรคติดเชื้ออย่างเดียว แต่จะทำให้มีความเสี่ยงลดลงอย่างมาก สำหรับโรคไม่ติดเชื้อและมะเร็ง นอกจากนั้น คนที่มีต้นทุนสุขภาพสูง อาจใช้ชีวิตแบบปกติตามสถานรื่นเริง แต่ตระหนักอยู่เสมอว่า ถ้าติดเชื้อตนเองไม่ตายแต่อาจเอาเชื้อกลับไปแพร่ให้ผู้ใหญ่เปราะบางที่บ้าน ดังนั้น หลังเฮฮา อาจแยกตัวห่างๆ ประมาณสามวัน อาจจะปลอดภัย สำหรับคนรอบตัวด้วยโชคดีและสุขภาพแข็งแรงที่สุดครับ.หมอดื้อ